julaza456




วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

ดูกันรึยัง !? โฆษณาตัวใหม่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เป็นหุ่นยนต์

เผยโฉม คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงซูเปอร์สตาร์ เรอัล มาดริด สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึก ลาลีกา สเปน ที่สวมบทหุ่นยนต์ในโฆษณาตัวใหม่ล่าสุด จากรายงานของ mirror.co.uk เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2559
โดยโฆษณาดังกล่าว "ซีอาร์7" สวมบทหุ่นยนต์นักเตะตกรุ่นที่ต้องบินไปอัพเกรดตัวเองที่ ประเทศตุรกี ก่อนกลับมาโชว์ฝีเท้าระดับเทพอีกครั้งในโฆษณาตัวใหม่ของ "เติร์ก เทเลคอม" บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการสื่อสารชื่อดังแดน "ไก่งวง"

​7 สุดยอดนักเตะ “เท้าโคตรหนัก” แห่งวงการฟุตบอล

เป็นที่รู้กันโดยสามัญสำนึกอยู่แล้วว่า “นักฟุตบอล” นั้นเป็นมนุษย์ที่มีกำลังขาเหนือกว่าชาวบ้านอยู่มากโข เนื่องจากเป็นอาชีพการงานที่ต้องใช้ขาเป็นหลัก
แต่สำหรับ นักเตะทั่วไปที่มีพละกำลังในการยิงประตูเหนือล้ำกว่ามนุษย์ปกติแล้ว ก็ยังมีผู้เล่นบางคนที่ก้าวข้ามขีดจำกัดและอยู่เหนือขึ้นไปกว่านั้นอีกในเรื่องของพลังในการยิงประตู ซึ่งพวกเขามักจะแสดงให้เราได้เห็นอยู่บ่อย ๆ ยามโลดแล่นบนสนาม
ทันทีที่เขาหวดบอลเต็มข้อด้วยหลังเท้า บอลที่พุ่งออกไปกระทบตาข่ายแบบเต็มแรงนั้นแหละเป็นเครื่องชี้วัดได้ดีที่สุดว่าใคร “ตีนหนัก” กว่ากันและนี่คือ 7 สุดยอดนักเตะที่ “เท้าโคตรหนัก” ที่สุดแห่งวงการฟุตบอล
7. ​สตีเวน เจอร์ราร์ด
กัปตันมาร์เวลของทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล คนนี้เป็นมิดฟิลด์คนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่า “เท้าหนัก” สุด ๆ
เพราะสตีเวน เจอร์ราร์ด คนนี้มักจะตะบันเต็มข้อส่งลูกเข้าประตูไปอย่างสุดสวยได้บ่อย ๆ แถมลูกยิงของเขานั้นทั้งแรง ทั้งเร็ว ทั้งหนักหน่วง แบบที่ว่าไม่ต้องเอาตัวเองไปยืนบังเพื่อพิสูจน์ความโหดแม้แต่น้อย
6. ​เอ็ดการ์ ดาวิดส์

มิดฟิลด์ตัวรับจากแดนกังหันคนนี้ ทั่วโลกต่างยอมรับเขาในเรื่องของความโหด การเล่นเกมรับที่ดุดันกัดไม่ปล่อย คนสื่อต่างชาติให้ฉายาว่า “เดอะ พิทบูล”
แต่นอกจากสไตล์การเล่นของเขาแล้ว เอ็ดการ์ ดาวิดส์ ยังมีลูกยิงอันหนักหน่วงรุนแรงแบบที่ไม่มีผู้รักษาประตูคนไหนอยากจะยื่นสุดแขนเข้าไปปัด โดยเฉพาะถ้าเขาคนนั้นเคยเล่นวินนิ่งฯ มาก่อน
เพราะค่าพลังในการยิงแรงของ มิดฟิลด์ใส่แว่นคนนี้มีคำพูดติดปากกันว่า “คิก 9” (ความแรงสูงสุด) เลยทีเดียว !
5. ​สลาตัน อิบราฮิโมวิช

อีกหนึ่งนักเตะเชิงสูงระดับโลกของทีมชาติสวีเดนที่ขึ้นชื่อว่า “กวน” สุด ๆ คนนี้ มีพลังในการยิงประตูอันแสนหนักหน่วง ทุกเค้าที่ สลาตัน ยิงตะบันเต็มข้อ บอลจะพุ่งเร็ว แรง หนัก จนยากที่จะมีใครพุ่งปัดได้ทัน
แถมนอกจากจะยิงแบบบ้าพลังได้แล้ว สไตรเกอร์บารมีแชมป์คนนี้ยังยิงประตูด้วยเทคนิคต่าง ๆ ได้อีกมากมายจนถือว่าเป็นหนึ่งในศิลปินลูกหนังของยุคนี้เลยทีเดียว
อ้อ ลืมบอกไปว่าเคล็ดลับที่ทำให้เจ้าสลาตัน “ตีนหนัก” ได้ขนาดนี้ ก็เพราะว่าเขาเป็นนักเทควันโดระดับ “สายดำ” ด้วยนะจะบอกให้ 
4. ​ยอห์น อาร์เน ริเซ

แบ๊คซ้ายจอมบุกหนึ่งในอดีตนักเตะขวัญใจแฟนบอลของทีมหงส์แดงคนนี้ เปี่ยมไปด้วยพละกำลังอันล้นเหลือ ทั้งวิ่งขึ้นลงจากหลังไปหน้า หน้ามาหลัง ได้อย่างไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย แถมยังมีเท้าซ้ายที่หวดบอลออกไปด้วยความเกรี้ยวกราดเป็นท่าไม้ตาย
ทุกประตูที่ ริเซ คนนี้ยิงได้ มักจะเป็นการตะบันเต็มข้อแทบทั้งนั้น และถ้าตรงกรอบก็หวังเป็นประตูได้เกือบทุกที
ครั้งหนึ่งเขาเคยยิงลูกฟรีคิกไปโดน อลัน สมิธ นักเตะของทีม แมนฯ ยูไนเต็ด “ขาหัก” คาสนามมาแล้ว จนได้รับฉายาที่สมกับความถึกว่า “ริเซตีนควาย”
3. ​โรแบร์โต คาร์ลอส

อีกหนึ่งแบ็คซ้ายในตำนานของวงการฟุตบอล เขาคนนี้มีความเร็วในระดับที่เรียกว่า “สปีด 9” เท่านั้นยังไม่พอ “คิก” ก็ยัง “9” อีกด้วย
ความหนักหน่วงในการยิงประตูด้วยพลังจากกล้ามเหนือขาที่เหมือนกับของสัตว์ป่านั้น เคยมีคนทำวิจัยเอาไว้ว่า หากใครโดน โรแบร์โต คาร์ลอส ยิงบอลอัดล่ะก็ จะเจ็บหนักเหมือนโดน มอเตอร์ไซค์ชน เลยทีเดียว
และลูกยิงที่กลายเป็นที่กล่าวขวัญไปทั่วโลกก็คือวันที่เขายิงฟรีคิกด้วยเท้าซ้าย บอลโค้งอ้อมกำแพงด้วยความรุนแรงพุ่งเสียบตาข่ายเข้าไปอย่างเหลือเชื่อจนกลายเป็นหนึ่งประตูคลาสสิกตลอดการของวงการฟุตบอลไปทันที
2. ​คริสเตียโน โรนัลโด

สำหรับนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในโลกคนนี้แล้ว จะไม่พูดถึงก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะเจ้าหนูโด้นั้นเป็นผู้ที่มีลูกยิงไกลอันหนักหน่วงเป็นท่าไม้ตายเฉพาะตัวของเขาซึ่งไม่มีใครสามารถลอกเลียนแบบได้
การยิงไกลตะบันเต็มข้อของ โรนัลโด้ นั้นหนักหน่วง รุนแรง และทิศทางก็ดี สมบูรณ์แบบสุด ๆ แต่ที่ทำให้มันกลายเป็นลูกเหนือโลกขึ้นไปอีกขั้นก็คือบอลนั้นจะพุ่งแบบไม่หมุนทำให้มีการส่ายเพิ่มขึ้นมาอีก
บอกเลยว่าถ้า โรนัลโด้ กดสูตรติดเมื่อไหร่ล่ะก็ ผู้รักษาประตูไม่จำเป็นต้องพุ่งปัดให้เมื่อยปล่อยให้เข้าไปเฉย ๆ เลยยังจะง่ายกว่า
1. ​กาเบรียล บาติสตูต้า

ถ้าจะถามถึง สุดยอดตำนาน “ตีนหนัก” ที่สุดในโลกตลอดกาล เชื่อเลยว่า ร้อยทั้งร้อย จะต้องยกให้กับชายผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของทีม ฟิออเรนตินา คนนี้ “กาเบรียล บาติสตูต้า”
หากใครทันดูฟุตบอลในยุคของเขา (ซึ่งก็ผ่านมาไม่นานเท่าไหร่) จะรู้ดีว่า ลูกยิงแต่ละลูกของเขานั้นหนักหน่วงและแม่นยำแค่ไหน บางลูกเห็นชัด ๆ ว่าผู้รักษาประตูอยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเซฟได้ทัน 
แต่กว่าจะรู้ตัวบอลก็กระทบตาข่ายแทบขาดไปแล้ว (ถ้าเป็นสึบาสะก็คงขาดไปเลย)
และสิ่งที่ทำให้เขาเหนือกว่านักเตะเท้าหนักคนอื่น ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด ก็คือความคมที่เชื่อใจได้ร้อยเปอร์เซ็นจน บาติสตูต้า คนนี้กลายเป็นที่สุดของที่สุดแห่งตำนานกองหน้าบนโลกฟุตบอล

10 อันดับนักเตะที่วิ่งเร็วที่สุดใน พรีเมียร์ลีก

10 อันดับนักเตะที่วิ่งเร็วที่สุดใน พรีเมียร์ลีก


10) เวส มอร์แกน สโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ : 34.76 กิโลเมตร/ชั่วโมง

9) ชาร์ลี แดเนียลส์ สโมสร บอร์นมัธ : 34.86 กิโลเมตร/ชั่วโมง

8) คาร์ล เจนกินสัน สโมสร เวสต์แฮม ยูไนเต็ด : 34.89 กิโลเมตร/ชั่วโมง

7) มาเม่ บิรัม ดิยุฟ สโมสร สโต๊ค ซิตี้ : 34.97 กิโลเมตร/ชั่วโมง

6) ริทชี่ เดอ แลต สโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ : 34.97 กิโลเมตร/ชั่วโมง

5) วิคเตอร์ โมเซส สโมสร เวสต์แฮม ยูไนเต็ด : 35.00 กิโลเมตร/ชั่วโมง

4) มาร์ค อัลไบรท์ตัน สโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ : 35.00 กิโลเมตร/ชั่วโมง

3) บิลลี่ โจนส์ สโมสร ซันเดอร์แลนด์ : 35.07 กิโลเมตร/ชั่วโมง

2) เจฟฟรี่ย์ ชลุปป์ สโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ : 35.26 กิโลเมตร/ชั่วโมง

1) เจมี่ วาร์ดี้  สโมสร เลสเตอร์ ซิตี้ : 35.44 กิโลเมตร/ชั่วโมง

ประวัติ ลิโอเนล เมสซี่ Lionel Messi

ลีโอเนล เมสซี่ เกิดวันที่ 24 มิถุนายน 1987 ขณะอายุ 5 ขวบเค้าก็หัดเริ่มเล่นบอลแล้ว ในปี 1995 เมสซี่จึงไปเข้าสังกัด นีเวลล์ โอลด์ บอย ตอนนั้นเขาอายุ 11 ปี แต่เมสซี่มีปัญหาเรื่องการเจริญเติบโตของฮอร์โมนทำให้เขาคัวเล็กกว่าเด็กวัยเดียวกันมาก ขณะนั้น คาเรส เรซัคส์ สปอร์ตไดเรกเตอร์ของบาร์เซโลน่าก็ได้เห็นแววเจ้าหนูคนนี้ จึงยื่นข้อเสนอที่จะเซ็นสัญญาให้กับเค้า พร้อมกับจ่ายค่ายาในการรักษาตัวด้วย ถ้าเมสซี่ตกลงจะย้ายมาใช้ชีวิตใหม่ในสเปนกับบาร์ซ่า ตั้งแต่นั้นมาครอบครัวเมสซี่จึงย้ายไปอยู่ในสเปนกัน
          -ในปี 2005-06 เมสซี่ได้สัญชาติสเปนจึงได้ลงเล่นใน ลีกสูงสุดสเปนเป็นครั้งแรก เมสซี่ฉายแววในการเป็นนักเตะเวิล์ดคลาสตั้งแต่แรกๆ โดยประตูแรกของเขานั้น กระดกข้ามหัวประตูอัลบาเซเต้ไปอย่างเหนือชั้นเมสซี่ซึ่งซัดไป 6 ลูก จาก 17 เกมในลีก และอีก 1 ลูกจาแชมเปี้ยนลีก ทั้งยังมีส่วนช่วยในการพาทีมเอาชนะรีล มาดริด และ เชลซีอีกด้วย แต่ต่อมาเขาก็ได้รับบาดเจ็บกระดูกนิ้วเท้าแตก ต้องพักอย่างน้อย 2 เดือน ทำให้ต้องพลาดการลงเล่นทั้งฤดูกาลที่เหลือ  ซึ่งในฤดูกาลนั้น บาร์ซ่าก็ได้เป็นจ้าวยุโรป
          -ในปี 2006-07 เมสซี่โชว์ฟอร์มสุดยอดอย่างสม่ำเสมอ ประกอบกับการเจ็บยาวของเอโต้และแผงหลังอันอ่อนยวบของบาร์ซ่า ทำให้ทีมนั้นต้องพึ่งเขาโดยตลอด แต่ในเกมนัดเจอซาราโกซ่า เมสซี่ก็เกิดอาการบาดเจ็บจนต้องพักยาวไป 3 เดือน ซึ่งตอนนั้นเองก็ได้มีข่าวลือว่าอินเตอร์มิลานสนใจคว้าเจ้าหนูรายนี้ไปครอง  เมสซี่กลับมาเล่นเต็มเกมครั้งแรกได้ในเกมพบกับ รีลมาริดคู่ปรับตลอดกาล ซึ่งเมสซี่ก็ได้ระเบิดฟอร์มซัดแฮตทริกแรกสำเร็จ แต่ในฤดูกาลนี้เค้าไม่สามารถช่วยบาร์ซ่าค้าแชมป์ ลาลีกา ได้ ดดนแพ้ มาดริดไปแบบเฉียดเส้นยาแดงด้วยกฎเฮด ทูเฮด เมสซี่ซึ่งนอกจากมีรูปร่างและสไตล์การเล่นใกล้เคียงกับ มาราโดน่า 1ในตำนานของอาเจนติน่าแล้ว เค้ายังสามารถตอกย้ำสิ่งที่เหมือนเข้าไปใหญ่คือการเลี้ยงหลบผู้เล่น 6 คน(รวมโกลด้วย)ของเคตาเฟ่ เข้าไปยิงประตู อีกทั้งในนัดเจอเอสปันญ่อล เค้ายังสามารถทำประตูแบบ Hand of god ที่มาราโดน่าทำได้อีกด้วย
          – ปี 2007-08 เมสซี่ยิง 5 ลูกในหนึ่งสัปดาห์ โดยยิงเซบีย่า ลียง และ ซาราโกซ่า พาบาร์ซ่าขึ้นไปในกลุ่มหัวแถวของตาราง ในฤดูกาลนี้ตลอดจนถึงปัจจุบันโรนัลดินโญ่มีปัญหาอาการบาดเจ็บตลอดจนรูปร่างที่จะคล้ายเหยินใหญ่เข้าไปทุกที ทำให้ฟอร์มการเล่นถดถอยไปเยอะ ทำให้บาร์ซ่าต้องฝากแนวรุกไว้ที่เมสซี่คนนี้ ฤดูกาลนี้เมสซี่ซัดไปแล้ว 15 เม็ด จาก 29 นัด
ในทีมชาติอาเจนติน่าbsp;
            -ในปี 2005 รุ่นยู 20 เมสซี่พาทีมคว้าแชมป์โลกที่ฮอลแลนด์ ตัวเค้าเองก็ยังคว้าตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมน์อีกด้วย นับว่าเป็นผลงานที่แจ้งเกิดให้เมสซี่เต็มตัว หลังจากนั้นชีวิตเค้าด็รุ่งเรืองขึ้นมาเรื่อยๆ  จนในวันที่ 17 สิงหาคม 2005 เค้าได้ลงประเดิมเกมแรกกับทีมชาติชุดใหญ่ ในการพบกับฮังการี แต่นับว่าเป็นการประเดิมที่ไม่สวยหรูเอาซะเลย เพราะเมสซี่โดนใบแดงจากที่ลงสนามไปแค่ไม่ถึง 2 นาที จนเค้าต้องออกจากสนามไปพร้อมกับน้ำตาในวันที่ 3 กันยายน เมสซี่ได้ลงสนามอีกครั้งในนัดอาเจนติน่าแพ้ให้กับปารากวัยไป 0-1 โดยได้ลงไปในช่วง 8 นาทีสุดท้ายของเกม เมสซี่ได้กล่าวติดตลกไว้ว่า นี่เป็นการประเดิมสนามอีกครั้ง หลังจากครั้งแรกมีเวลาแค่นิดเดียวจากนั้นเมสซี่ได้ลงเล่นในฟุบอลโลกในนามทีมชาติชุดใหญ่เป็นหนแรกของเค้า ในนัดพบกับเซอร์เบียโดยถูกเปลี่ยนลงสนามไปแทน มักซี่ โรดิงเกวซ ในนาทีที่ 74และเจ้าหนูก็สามารถทำประตูได้ซึ่งเป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในทัวร์นาเมนท์นี้ที่ทำประตูได้อีกด้วย แต่ในท้ายที่สุดอาเจนติน่าก็พ่ายเยอรมันไปในการดวลจุดโทษตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายไปในที่สุด
            -ปัจจุบัน เมสซี่ยังเป็นกำลังสำคัญของบาร์ซ่าในเกมรุกต่อไป โดยทั้งสื่อมวลชน และตำนานนักเตะทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น มาราโดน่า ต๊อตติ โยฮัน ครอยฟ์ โรนัลดินโญ่ ไรจการ์ด ฟรานซ์ เบ๊คเคนบราวน์ ต่างยกย่องว่าเจ้าหนูคนนี้จะเป็นักเตะเวิล์ดคลาสในไม่ช้านี้แน่
           เมสซี่อาจจะไม่มีลีลาการสับขาหยอกสยองแบบหนูโด้ แต่สเต๊ปเท้าในการเปลี่ยนทางบอล บวกกับความเร็วในการลากเลื้อยของเค้านั้นสุดยอดจริงๆ ไปง่ายๆแต่เร็วและชัวร์ มีเซนส์ในการยิงบอลเยี่ยม
สำหรับผมเวิลด์คลาสเมื่อไหร่ไม่รู้ครับ รู้แต่เพียงว่าถ้าตอนนี้ บาร์ซ่าเอะอะ คิดไรไม่ออกบอก  เมสซี่ตลอดครับ! ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เมสซี่เป็นเทพคนใหม่ของบาร์ซ่าจริงๆ
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย– เมสซี่ถนัดซ้าย แต่ไรจ์การ์ดให้เค้าเล่นปีกขวา แต่เจ้าหนูก็ยังเล่นได้อย่างเนียนมาก จนกลายเป็นตำแหน่งถนัดของเค้าไปเลย
– ค่ายาที่คอยรักษาเมสซี่คือ 500 ปอนด์ต่อเดือน ซึ่งในตอนสมัยเด็กริเวอร์เพลทสนใจจะดึงเค้าไปร่วมทีมแต่จ่ายค่ารักษาไม่ไหว
– สถิตินักเตะอายุน้อยที่สุดที่ลงเล่นและยิงประตูในลาลีกาของเมสซี่โดนทำลายโดย เด็กมหัศจรรย์อีกคน โบยาน เกรกิซ  (โดยเมสซี่ ก็ยังเป็นคนจ่ายบอลให้เกรกิซยิงนั่นเอง)

10 สุดยอดแข้งในตำนานWorld cup

เวิลด์คัพคือเวทีโชว์ฝีเท้าสำหรับสุดยอดนักเตะชั้นนำของโลกมากมาย ก่อนที่จะถึงทัวร์นาเมนต์สำคัญที่บราซิล เราลองย้อนกลับไปดูพวกเขากันสักเล็กน้อย

ดิเอโก มาราโดนา (อาร์เจนตินา)

ไม่เคยมีผู้เล่นคนใดที่สยบเวิลด์คัพไว้ใต้ฝ่าเท้าได้เท่ามาราโดนาในเม็กซิโก ปี 86 อีกแล้ว
เขาเป็นนักเตะที่ขโมยลมหายใจของคนดูได้พอๆ กับที่สร้างเรื่องอื้อฉาว มาราโดนามีส่วนร่วมกับประตูของอาร์เจนตินา ไม่ว่าจะยิงเองหรือจ่ายให้เพื่อนถึง 10 ลูก จาก 14 ลูกที่ทีมฟ้าขาวทำได้ ระหว่างทางถึงถ้วยแชมป์ใบนี้ รวมถึงทำสองประตูสำคัญในเกมรอบรองชนะเลิศที่พบทีมชาติอังกฤษ
ประตูแรกถือเป็นประตูที่อื้อฉาวที่สุดตลอดกาลที่เรารู้จักกันในนาม “หัตถ์พระเจ้า” ซึ่งกรรมการชาวตูนิเซียอย่างอาลี เบนนาเซอร์มองไม่เห็น ทว่าประตูที่สองในเกมนี้ที่ลากบอลผ่านผู้เล่นอังกฤษคนแล้วคนเล่าก่อนจะแตะบอลผ่านปีเตอร์ ชิลตันไปกองอยู่ก้นตาข่ายนั้นคือประตูที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลประตูหนึ่งในโลกฟุตบอล
ในรอบชิงชนะเลิศ เยอรมันตะวันตกพยายามประกบตายมาราโดนาแบบไม่ให้ขยับตัว แต่ทันทีที่เขาสลัดหลุดการประกบของโลธาร์ มัทเธอุสได้ ก็สร้างโอกาสให้ฆอร์เก้ เบอร์รูชาก้า ทำประตูชัยทันที
โดยสรุปแล้ว มาราโดนาทำได้ 8 ประตู จากการลงสนามในฟุตบอลโลก 21 นัด รวมถึงยังเคยเป็นโค้ชพาทีมเข้าไปถึงรอบก่อนรองชนะเลิศที่แอฟริกาใต้ได้ในปี 2010 อีกด้วย

เปเล่ (บราซิล)

คู่เคียงกับมาราโดนา เปเลถือเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดตลอดกาลของวงการฟุตบอล เมื่อเขาได้เหรียญรางวัลเวิลด์คัพถึง 3 ครั้ง ซึ่งต้องถือว่ายอดเยี่ยมแบบไร้คู่แข่ง
ด้วยวัยเพียง 17 ปี เปเลทำได้ 6 ประตูจากการลงสนาม 4 นัดในฟุตบอลโลก 1958 ที่สวีเดน รวมถึงทำแฮตทริคได้ในเกมพบฝรั่งเศสรอบรองชนะเลิศ และอีกสองประตูในเกมพบเจ้าภาพ
น่าเสียดายที่อาการบาดเจ็บส่งผลให้เขาแทบไม่ได้ลงสนามเลยในฟุตบอลโลก 1962 แม้ว่าเขาจะได้เหรียญรางวัลสำหรับความสำเร็จของบราซิลมา รวมถึงในปี 1966 ที่อาการบาดเจ็บเล่นงานเขาอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ฟุตบอลโลกปี 70 ที่เม็กซิโก คือเวทีที่เปเลประกาศศักดาความเป็นตำนานฟุตบอลโลกของเขา ด้วยการเป็น นักเตะยอดเยี่ยมของทัวร์นาเมนต์ ในฐานะส่วนหนึ่งของสุดยอดแนวรุกแซมบ้าทั้ง ริเวลิโน, แจร์ซินโญ และทอสเทา ซึ่งไล่ต้อนคู่แข่งของพวกเขาแบบหมดท่า รวมถึงชนะอิตาลีในนัดชิงถึง 4-1 จนได้รับการยกย่องว่าเป็นการคว้าแชมป์แบบขาดลอยที่สุดในประวัติศาสตร์ทัวร์นาเมนต์นี้

โรนัลโด้ (บราซิล)

คงไม่มีอะไรนิยามถึงความยอดเยี่ยมของ “โอ ฟีโนมีโน” ได้ดีไปกว่าตัวเลขที่ระบุว่า เขาเป็นผู้เล่นที่ทำประตูได้มากที่สุดในเวทีฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดบนดาวเคราะห์ดวงนี้
โรนัลโด้คือผู้เล่นที่ไม่ได้สัมผัสสนามเลยในปีที่บราซิลได้แชมป์ฟุตบอลโลก 1994 ก่อนจะพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นกองหน้าที่ดีที่สุดในโลกเมื่อ ฟรองซ์ 98 มาถึง เขาโชว์ฟอร์มได้ดีจนกระทั่งถึงรอบชิงชนะเลิศก่อนจะประสบปัญหาบาดเจ็บ และต้องเข็นลงนัดชิงในนาทีสุดท้าย ซึ่งส่งผลให้เจ้าตัวทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานและบราซิลก็พ่ายต่อเจ้าภาพไป 3-0 ในที่สุด
อดีตกองหน้าของอินเตอร์ มิลาน, เรอัล มาดริด และเอซี มิลาน ได้ชูถ้วยเวิลด์คัพในฟุตบอลโลก 2002 ซึ่งทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์ รวมถึงฟอร์มเด่นในนัดชิงชนะเลิศ ที่ปราบเยอรมันไปได้อย่างสวยหรู
ในปี 2006 เขาก็กลายเป็นตำนานดาวซัลโวฟุตบอลโลก เมื่อยิงประตูแซงหน้าแกร์ด มุลเลอร์ ขึ้นเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของรายการนี้ด้วยจำนวน 15 ประตูด้วยกัน

ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ (เยอรมันตะวันตก)

ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ตำนานชาวเยอรมันที่เรียกขานกันว่า “ไกเซอร์” คือชายคนเดียวที่เคยชูถ้วยเวิลด์คัพทั้งในฐานะกัปตันและโค้ชของทีมชาติ อย่างไรก็ดีเขาก็เคยพลาดโอกาสคว้าแชมป์ใบนี้มาแล้วหลายครั้งด้วยกัน
หลังจากที่พ่ายแพ้ในเกมฟุตบอลโลกนัดชิงปี 1966 ต่อทีมชาติอังกฤษ 4 ปีต่อมาที่เม็กซิโก เขาและเยอรมันก็ต้องผิดหวังอีกครั้งเมื่อพ่ายแพ้ต่ออิตาลีในช่วงต่อเวลาของเกมรอบรองชนะเลิศ
จนกระทั่งในปี 1974 แข้งอินทรีเหล็กรายนี้ถึงได้ลิ้มรสความสำเร็จที่หอมหวาน เมื่อเป็นผู้นำในแนวรับที่เสียเพียง 4 ประตู จาก 7 นัดจนกระทั่งถึงนัดชิงชนะเลิศ
หลังจากที่ประสบความสำเร็จมาแล้วแทบทุกอย่างในฐานะนักเตะ เบ็คเคนบาวเออร์ก็ยังคว้าแชมป์ได้ในฐานะโค้ชที่ อิตาเลีย 90 เมื่อเยอรมันตะวันตกภายใต้การคุมทีมของเขาปราบอาร์เจนตินาที่มีดิเอโก้ มาราโดนา ไปได้ 1-0 ที่กรุงโรม

ซีเนดีน ซีดาน (ฝรั่งเศส)

ซีเนดีน ซีดาน เป็นเพลย์เมคเกอร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคของเขา และกลายเป็นหนึ่งในตำนานที่คลาสสิคที่สุดของวงการฟุตบอล จากผลงานเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศได้ 2 ครั้ง และคว้าแชมป์มาครองได้หนึ่งครั้ง
หลังจากที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับยูเวนตุสมาสองฤดูกาล ซีเนดีน ซีดาน เล่นในฟรองซ์ 98 ในฐานะบทบาทสำคัญสู่ความสำเร็จของทีมเจ้าภาพ
ซีดานได้ใบแดงในเกมพบซาอุดิอาระเบีย ในรอบแบ่งกลุ่มนัดที่สอง ส่งผลให้เขาพลาดลงสนามเสียหลายนัด ทว่าฟอร์มอันโดดเด่นในเกมพบโครเอเชียรอบรองชนะเลิศ และอีกสองประตูจากลูกโหม่งในรอบชิงชนะเลิศที่ปารีสก็ช่วยให้ทีมตราไก่ได้แชมป์ฟุตบอลโลกหนแรกในประวัติศาสตร์เสียที
8 ปีต่อมา หลังจากที่อาการบาดเจ็บในทัวร์นาเมนต์ปี 2002 ส่งผลให้ทีมฝรั่งเศสตกรอบแรก ซีดานกลับมาอีกครั้งในทัวร์นาเมนต์อำลาสนามของเขาที่เยอรมัน 2006 และโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมตลอดทั้งรายการรวมถึงในนัดชนะสเปนและโปรตุเกส
อย่างไรก็ดี เกมในรอบชิงชนะเลิศก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อซีดาน ซึ่งยิงจุดโทษสุดสวยให้ฝรั่งเศสออกนำอิตาลีไปก่อน 1-0 กลับต้องออกจากสนามเพราะการใช้ศีรษะโขก มาร์โก มาเตรัซซี ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ส่งผลให้ฝรั่งเศสพ่ายแพ้อิตาลีด้วยการดวลจุดโทษตัดสินไปอย่างน่าเสียดาย

แกร์ด มุลเลอร์ (เยอรมันตะวันตก)

ขณะที่ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ คือ หัวใจในแนวรับของทีมชาติเยอรมัน ที่ได้รับการขนานนามว่า “ไกเซอร์” แกร็ด มุลเลอร์ ก็ยืนอยู่อีกฟากของสนามในฐานะตำนานดาวยิงที่เฉียบคมที่สุดของทีมอินทรีเหล็ก ด้วยฉายาที่เหมาะสมกับเขาเสียเหลือเกินคือ “ไอ้ลูกระเบิด
แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีร่างกายที่เหนือกว่าคนอื่นๆ แต่มุลเลอร์เป็นนักเตะที่มีสัญชาตญาณทำประตูยอดเยี่ยมและคิดไวทำไวจนภาพที่เขาเอาชนะกองหลังเพื่อทำประตูเป็นเรื่องที่เห็นจนชินตา นอกจากนี้ด้วยส่วนสูงเพียง 1.76 เมตร ยังทำให้เขาหลุดรอดจากสายตาของแนวรับฝั่งตรงข้ามได้ง่ายๆ
มุลเลอร์ทำได้ 10 ประตู ให้เยอรมันตะวันตก ที่เม็กซิโก 70 ก่อนจะตกรอบรองชนะเลิศเพราะพ่ายแพ้อิตาลี ก่อนที่อีก 4 ปีต่อมา เขาจะมีส่วนร่วมสำคัญในความสำเร็จของทีมชาติเยอรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งประตูในเกมปราบฮอลแลนด์นัดชิงชนะเลิศไป 2-1
แม้ว่าสถิติ 14 ประตูของเขาจะถูกโรนัลโด้แซงไปแล้วก็ตาม แต่ผลงานทำประตูของเขาก็ยังยอดเยี่ยมเสมอ เมื่อมุลเลอร์ใช้เวลาเพียง 13 เกมเพื่อทำสถิติดังกล่าว ขณะที่กองหน้าทีมชาติบราซิลต้องใช้ถึง 19 เกมด้วยกัน

บ็อบบี้ มัวร์ (อังกฤษ)

ภาพเขาถูกชูขึ้นเหนือบ่าของเรย์ วิลสัน และแฮตทริคฮีโรของทีมชาติอังกฤษอย่างเจฟฟ์ เฮิร์สต์ พร้อมถือถ้วยจูลส์ ริเมต์อยู่ในมือ ถือเป็นช็อตคลาสสิคแห่งชัยชนะของบ็อบบี้ มัวร์ ในความสำเร็จเมื่อปี 1966 รวมถึงการได้รับคำยกย่องว่าเป็นปราการหลังที่แข็งแกร่งที่สุดตลอดกาลคนหนึ่ง
มัวร์ได้ลงสนามในเวิลด์คัพครั้งแรกที่ชิลีเมื่อปี 1962 ก่อนจะรับบทกัปตันทีมชาติจากจอห์นนี เฮย์เนส ในอีกหนึ่งปีถัดมา เขาถือเป็นคนที่มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จเพียงครั้งเดียวในฟุตบอลโลกของทีมชาติอังกฤษ ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของแนวรับที่รักษาคลีนชีตไว้ได้ถึง 4 นัดติดต่อกัน รวมถึงเกือบจะขยายออกไปเป็นนัดที่ 5 หากไม่เจอลูกจุดโทษของยูเซบิโอในรอบรองชนะเลิศที่ชนะโปรตุเกสไปเสียก่อน
อย่างไรก็ดี ฟอร์มอันยอดเยี่ยมที่สุดของมัวร์ในฟุตบอลโลกนั้น กล่าวกันว่าเกิดขึ้นในอีก 4 ปีถัดมาที่ประเทศเม็กซิโก
แม้ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มต้น มัวร์จะถูกกล่าวหาว่าเป็นขโมยจากร้านอัญมณีโคลอมเบีย แต่เขาก็ทำผลงานในรอบแบ่งกลุ่มได้อย่างโดดเด่นโดยเฉพาะจังหวะที่หยุดแจร์ซินโญเอาไว้ได้อยู่หมัด
อย่างไรก็ดี การเข้าปะทะในครั้งนั้น และลูกเซฟแห่งความทรงจำของกอร์ดอน แบงค์ ก็ไม่อาจช่วยให้อังกฤษรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ 1-0 ไปได้ ก่อนที่อังกฤษจะตกรอบเพราะเยอรมันตะวันตกในรอบถัดมา

ยูเซบิโอ (โปรตุเกส)

หนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในโลกที่ไม่เคยชูถ้วยเวิลด์คัพ ไข่มุกดำแห่งโปรตุเกส สมควรได้รับคำยกย่องในฐานะตำนานจากฝีเท้าของเขา
ในขณะที่อังกฤษเป็นผู้ชูถ้วยแชมป์ในปี 1966 ดาวเตะโปรตุกีสถือเป็นสตาร์ของทัวร์นาเมนต์นั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยการทำ 9 ประตูพร้อมรางวัลรองเท้าทองคำในรายการนั้น
ในคราวนั้นกองหน้าเบนฟิก้าประกาศศักดาที่อังกฤษในฐานะนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรป พร้อมพิสูจน์ฝีเท้าของเขาด้วยการทำสี่ประตูในเกมรอบก่อนรองชนะเลิศที่พบเกาหลีเหนือ ซึ่งทีมจากเอเชียเป็นฝ่ายออกนำไปก่อน 3-0 โดยใช้เวลาเพียง 25 นาที
เขายังทำประตูได้อีกครั้งในเกมรอบรองชนะเลิศที่พบอังกฤษ แต่นั่นไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ทีมฝอยทองรอดพ้นจากความพ่ายแพ้ 2-1 ได้
ตำนานชาวโปรตุเกสเฉือนชนะจุสต์ ฟองแตง ผู้ทำ 13 ประตูช่วยให้ฝรั่งเศสคว้าอันดับสามในเวิลด์คัพ 1958 ไปได้อย่างเฉียดฉิว ในลิสต์ของเราครั้งนี้
ยูเซบิโออำลาโลกนี้ไปเมื่อเดือนมกราคม 2014 ด้วยวัย 71 ปี พร้อมทิ้งตำนานขึ้นชื่อลือชาที่ยากจะลืมเลือนเอาไว้ที่นี่

โยฮัน ครัฟฟ์ (ฮอลแลนด์)

หากฮอลแลนด์สามารถรักษาสกอร์ 1-0 ที่พวกเขานำตั้งแต่นาทีที่สองของนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 1974 หรือทำประตูเพิ่มได้จากตรงนั้น ผลงานของ โยฮัน ครัฟฟ์ บนเวทีระดับโลก อาจได้รับการยอมรับพอๆ กับดิเอโก มาราโดนา เมื่อปี 1986 หรือแม้แต่จะไปได้ไกลกว่านั้นก็เป็นได้
ครัฟฟ์ถือเป็นกำลังสำคัญของฮอลแลนด์ในยุคโททัล ฟุตบอล รวมถึงเป็นผู้นำที่มีความคิดสร้างสรรค์ในสนามของโค้ชประจำทีมอย่างไรนุส มิเชลส์
จอมทัพดัตช์ป่วนกองหลังฝั่งตรงข้ามให้หัวหมุนได้ตลอดทั้งทัวร์นาเมนต์จนถึงนัดชิง รวมถึงกลายเป็นต้นแบบให้โค้ชได้สอนคนรุ่นหลังด้วย “ครัฟฟ์เทิร์น” ในรอบแบ่งกลุ่มที่เสมอสวีเดนไป 0-0
เขาทำได้สองประตูในเกมถล่มอาร์เจนตินา 4-0 รวมถึงทำประตูได้ในเกมพบบราซิลอีกด้วย
จนกระทั่งวันที่เขาพาทีมฮอลแลนด์บุกใส่เยอรมันตะวันตกตั้งแต่คิกออฟ และได้ประตูนำจากจุดโทษของโยฮัน นีสเกนส์ ก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะกำหนดเอาไว้แล้วให้เขาเป็นผู้ชูถ้วยเวิลด์คัพ ทว่าพอล ไบรท์เนอร์ และแกร์ด มุลเลอร์ คือนักเตะสองคนที่ปฏิเสธโชคชะตาดังกล่าว
ครัฟฟ์ประกาศอำลาทีมชาติแบบสร้างความประหลาดใจให้แฟนบอลทั่วโลกก่อนฟุตบอลโลก 1978 จะเริ่มต้นเพียง 1 ปี ก่อนที่จะมีการเปิดเผยกันในภายหลังว่าเหตุพยายามลักพาตัวเขาและครอบครัวด้วยไรเฟิลในบาร์เซโลนา ถือเป็นส่วนสำคัญสำหรับการตัดสินใจในครั้งนี้

เฟเรนซ์ ปุสกัส (ฮังการี)

ถ้าครัฟฟ์และทักษะสุดพริ้วของเขาคือหัวใจสำคัญของขุนพลดัตช์ในยุค “โททัลฟุตบอล” ก่อนหน้านั้นประมาณสองทศวรรษ เฟเรนซ์ ปุสกัส ก็ถือเป็นบุคคลที่มีความสำคัญพอๆ กันต่อยอดทีมอีกหนึ่งชุดในวงการฟุตบอลอย่าง “เมจิคัล แม็กยาร์ส”
ทีมแชมป์โอลิมปิค เดินหน้าเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์เมื่อปี 1954 ในฐานะทีมที่ดีที่สุดในดาวเคราะห์ดวงนี้ ด้วยการไม่แพ้ใครต่อเนื่องถึง 31 นัด โดยมีปุสกัสเป็นดาวเด่น
ทีมชาติฮังการีทะลุเข้ามาได้ถึงรอบชิงชนะเลิศในรายการดังกล่าว แม้ปุสกัสจะมีอาการบาดเจ็บ แต่เขาก็ทำประตูแรกให้ทีมได้ ก่อนที่โซลตัน ซิบอร์ จะเป็นคนทำประตูที่สอง
อย่างไรก็ดี เยอรมันตะวันตกกลับมาทำได้สามประตูจนกลายเป็นหนึ่งในเกมพลิกล็อคที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลโลก ที่ได้รับการขนานนามว่าปาฏิหาริย์แห่งเบิร์น
นั่นคือการพลาดโอกาสที่น่าเสียดายที่สุดของฮังการี เพราะทีมที่ดีที่สุดทีมนี้ต้องแตกเป็นเสี่ยงๆ เนื่องจากการปฏิวัติประเทศในอีกสองปีถัดมา